Logistic ธุรกิจที่ถูกจับตา ในยุคของวิกฤติสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ส่งผลให้อุตสาหกรรมนี้ ตกอยู่ท่ามกลางแรงกดดันทั้งจากคู่ค้า และผู้บรโภค
บริษัทต่าง ๆ ไม่เพียงต้องปรับตัวให้ทันกับกฎระเบียบสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น แต่ยังต้องยกระดับความยั่งยืนของการดำเนินงานโดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพทางธุรกิจ
จากรายงานของ McKinsey ปี 2024 คาดว่า “โลจิสติกส์สีเขียว” หรือแนวทางการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะมีมูลค่าสูงถึง 350,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2030 ซึ่งเท่ากับ 15% ของค่าใช้จ่ายโลจิสติกส์ทั่วโลก แสดงให้เห็นว่า ความยั่งยืนไม่ใช่ผลกระทบทางบวกของสิ่งแวดล้อม แต่คือโอกาสทางธุรกิจที่จับต้องได้

Logistic ยุคใหม่: เมื่อความเร็วต้องเดินคู่กับสิ่งแวดล้อม
หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของโลจิสติกส์ยุคใหม่ คือการต้องตอบสนองความต้องการจัดส่งที่รวดเร็ว ในขณะที่ต้องสอดรับกับข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เคร่งครัดขึ้น รัฐบาลในหลายประเทศได้ออกกฎให้เมืองใหญ่กลายเป็นเขตปล่อยมลพิษต่ำ หรือ LEZ (Low-Emission Zones) ซึ่งบังคับให้ผู้ประกอบการต้องหันมาใช้พาหนะที่ปล่อยคาร์บอนต่ำอย่าง รถยนต์ไฟฟ้า แม้ว่าทางเลือกนี้จะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ก็มาพร้อมข้อจำกัดเรื่องระยะทาง การชาร์จแบตเตอรี่ และการวางแผนเส้นทางที่ซับซ้อนขึ้น
นอกจากนี้ เมืองใหญ่ยังมีการออกแบบพื้นที่ใหม่ที่อาจไม่เอื้อต่อรถขนส่ง เช่น การจำกัดพื้นที่จอดรถ หรือการบังคับใช้มาตรการจำกัดเสียงและมลพิษ การปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญของธุรกิจโลจิสติกส์ ที่ต้องหาทางส่งของให้ถึงมือผู้บริโภค โดยยังรักษาความคล่องตัวไว้ได้ อาทิ การใช้จักรยานขนส่ง การตั้งศูนย์กระจายสินค้าขนาดเล็กตามจุดยุทธศาสตร์ หรือการร่วมมือกับพันธมิตร ในขั้นตอนการจัดส่งระยะสุดท้าย

ในอีกด้านหนึ่ง โครงสร้างพื้นฐานเดิม เช่น คลังสินค้า ระบบขนส่ง และพันธมิตรด้านโลจิสติกส์ ก็อาจเป็นข้อจำกัดต่อความยืดหยุ่น ในการเปลี่ยนแปลงเครือข่ายโลจิสติกส์ การจะตั้งศูนย์กระจายสินค้าใหม่แต่ละครั้ง ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก และต้องอาศัยข้อมูลเชิงลึกในการวางแผนให้สอดคล้องกับ Demand และข้อจำกัดในพื้นที่นั้น ๆ
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้แรงกดดันจากภายนอก คือความมุ่งมั่นของบริษัทเอง ในการกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืน หลายองค์กรตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดของเสีย และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ซึ่งถือเป็นความท้าทาย ที่ต้องทำให้ได้ควบคู่กับการรักษาประสิทธิภาพและต้นทุนที่เหมาะสม
กลยุทธ์ในการปรับโครงข่ายโลจิสติกส์สู่ความยั่งยืน
เมื่อต้องเผชิญทั้งแรงกดดันจากภาครัฐ ลูกค้า และตัวองค์กรเอง บริษัทจึงจำเป็นต้องปรับโครงข่ายโลจิสติกส์ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น การเลือกที่ตั้งของศูนย์กระจายสินค้า กลายเป็นปัจจัยที่ต้องคิดอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความใกล้ชิด กับพื้นที่เมืองใหญ่ โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม และจุดที่ลูกค้าอยู่ การมีศูนย์กระจายสินค้าใกล้พื้นที่ความต้องการสูง ไม่เพียงช่วยประหยัดค่าน้ำมันและลดการปล่อยคาร์บอน แต่ยังทำให้ส่งสินค้าได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นที่พึงพอใจของผู้บริโภค
ด้านการบริหารสินค้าคงคลัง ธุรกิจสามารถใช้ข้อมูลเชิงวิเคราะห์เพื่อวางของให้ใกล้ผู้บริโภคมากขึ้น ลดการขนส่งไม่จำเป็น และตอบสนองต่อ Demand ได้แม่นยำขึ้น การวางระบบที่ให้สินค้าอยู่ในที่ที่ “ต้องอยู่” ไม่เพียงลดต้นทุนและคาร์บอนฟุตพรินต์ แต่ยังเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าอีกด้วย
ในเมืองใหญ่ การตั้งศูนย์กระจายสินค้าขนาดเล็ก หรือที่เรียกว่า micro-fulfillment centers กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะสามารถตอบโจทย์การจัดส่งที่รวดเร็วในพื้นที่แออัดได้ดี ไม่ต้องใช้พื้นที่ใหญ่เหมือนคลังแบบเดิม และช่วยลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมได้ในเวลาเดียวกัน

เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกโลจิสติกส์ให้ยั่งยืน
การจะสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์ที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงาน แต่ต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาเสริม ตัวอย่างเช่น Virtual Twin หรือแฝดดิจิทัล ที่จำลองเครือข่ายโลจิสติกส์ให้เห็นผลลัพธ์จากการเปลี่ยนแปลงล่วงหน้าได้ เช่น ทดลองดูว่าการเปลี่ยนรถทั้งระบบไปใช้รถไฟฟ้าจะลดคาร์บอนได้เท่าไร ลดต้นทุนด้านพลังงานได้แค่ไหน
ขณะเดียวกัน AI และ Machine Learning ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากเพื่อคาดการณ์ความต้องการล่วงหน้า ปรับเส้นทางให้สั้นที่สุด และหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีข้อจำกัด เช่น เขตมลพิษสูง ทั้งหมดนี้ทำแบบเรียลไทม์ได้โดยไม่ต้องอาศัยการตัดสินใจของคนเพียงอย่างเดียว
อุปกรณ์ IoT (Internet of Things) ก็มีบทบาทสำคัญในเรื่องการติดตามสถานะสินค้าและรถขนส่ง เช่น ตรวจสอบการใช้พลังงานหรืออุณหภูมิขณะขนส่ง เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน โดยใช้เครื่องทำความเย็นเฉพาะตอนจำเป็นเท่านั้น และลดของเสียจากการขนส่งผิดเงื่อนไข
Logistic สู่ความยั่งยืน กับแนวปฏิบัติจริงที่ทำได้
แม้จะมีเทคโนโลยีล้ำหน้า แต่สิ่งที่สำคัญคือการนำไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม ตัวอย่างเช่น การวางแผนการใช้รถไฟฟ้าหรือไฮบริดอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ระบบจำลอง Virtual Twin เพื่อออกแบบเส้นทางขนส่งแบบยั่งยืนล่วงหน้า หรือการอัปเกรดคลังสินค้าให้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์หรือแสงสว่างจาก LED ที่ประหยัดไฟมากขึ้น
อีกหนึ่งแนวทางที่เริ่มนิยมคือการออกแบบบรรจุภัณฑ์แบบหมุนเวียน ใช้ซ้ำได้ หรือรีไซเคิลได้ง่าย รวมถึงวางแผนโลจิสติกส์ย้อนกลับ (reverse logistics) เพื่อเก็บคืนบรรจุภัณฑ์เหล่านี้กลับมาหมุนใช้ใหม่ ลดการใช้ทรัพยากรและลดต้นทุนในระยะยาว

โลจิสติกส์และซัพพลายเชนกำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญ ธุรกิจที่กล้าปรับตัว จะสามารถลดคาร์บอน ลดต้นทุน และเพิ่มความทนทานของระบบได้ในเวลาเดียวกัน ที่สำคัญยังมีบทบาทในการรักษาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรโลกให้คนรุ่นถัดไป หากธุรกิจต้องการอยู่รอดในโลกที่ความยั่งยืนเป็นเรื่องใหญ่ การเริ่มต้นตอนนี้ คือ “กำไรระยะยาว” ที่จับต้องได้จริง
ติดตามข้อมูลข่าวสารของ คิดคิด และ ECOLIFE ได้ที่
Facebook: ECOLIFE
LINE OA: @ECOLIFEapp