ป่านนี้เขานั่งกินไอติมสบายใจเฉิบไปแล้ว หนังสือที่ว่าด้วยสิ่งที่คนพูดไม่ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ เขาอาจจะพูดเรื่องลบ ๆ กับใครไป โดยที่เขาคิดเพียงเพื่อความสะใจ แต่ทำไมคนฟังกลับต้องมาคิดหนักด้วย
อย่าปล่อยให้ “เรื่องแย่ ๆ” ของคนอื่น มาทำลาย “วันดี ๆ” ของคุณ
นี่คือคำนิยามของหนังสือเล่มนี้..
ป่านนี้เขานั่งกินไอติมสบายใจเฉิบไปแล้ว กับจุดเริ่มต้นของนักเขียน
เรื่องราวของหนังสือเล่มนี้ เกิดจากที่คุณ JAM ผู้เป็นนักเขียน ที่เมื่อก่อนเธอจมอยู่กับปัญหา และความกลุ้มใจในเรื่องต่าง ๆ ทั้งอยากเป็นที่ยอมรับ เป็นที่รัก และยังต้องคอยรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง จนอยากที่จะหนีออกมาจากปัญหาเหล่านั้นเสียที ทว่าแม้จะอ่านหนังสือแนวจิตวิทยา หรือปรัชญา กี่เล่มต่อกี่เล่ม ก็ยังไม่สามารถที่จะช่วยให้เธอ หลุดพ้นจากปัญหาเหล่านั้นได้
วันหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังกลุ้มใจอยู่นั้น เพื่อนคนหนึ่งได้เอ่ยประโยค ที่กลายมาเป็นชื่อของหนังสือเล่มนี้กับเธอในเวลาต่อมา
“ป่านนี้เขานั่งกินไอติมสบายใจเฉิบไปแล้ว คงไม่ได้มาใส่ใจอะไรเราหรอก”
“มัวแต่คิดมากคนเดียวอยู่แบบนี้ เหมือนคนบ้าเลยเรา”
“ถึงเราจะรู้สึกกลุ้มใจ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะใส่ใจเรื่องของเราซะหน่อย!”
เมื่อได้ฟังสิ่งที่เพื่อนพูดแล้ว เธอก็รู้สึกว่า นี่แหละใช่เลย!! และเพราะอยากจะส่งต่อเรื่องราวและวิธีการปลดปล่อยตัวเองออกจากความทุกข์เหล่านั้น จึงทำให้เธอเริ่มวาดเรื่องราวต่าง ๆ ลงทวิตเตอร์ และเกิดเป็นวิธีคิด ที่ทำให้ตัวเองหลุดออกจากความรู้สึกแย่ ๆ ทั้ง 64 ข้อ ในหนังสือเล่มนี้


4 Chapters ที่ช่วยคุณได้เป็นอย่างดี
เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้จะแบ่งออกเป็น 4 Chapters หลักกับอีก 64 ข้อ ที่ทำให้คุณได้เปลี่ยนวิธีคิด และหลุดพ้นจากปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
Chapter 1 ความรู้สึกขุ่นมัวจากการเล่นโซเชียล
ซึ่งในหาในบทนี้ จะช่วยให้คุณเลิกยึดติดกับสิ่งที่บั่นทอนจิตใจ ที่พบเจอในโซเชียลมีเดีย และกลับมาอยู่ในโลกของความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น โดยจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น จากอุปนิสัยการเล่นโซเชียลมีเดียที่เคยพบเจอ
ไม่ว่าจะเป็นการรับมือกับผู้คนในโลกโซเชียล ทั้งคำพูดแย่ ๆ หรือการถูกว่าจากใครก็ไม่รู้ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน รวมไปถึงวิธีการจัดการกับตัวเอง เวลาที่เรารู้สึกแย่เวลาเขาอ่านไม่ตอบ ถูกบล็อกหรือเลิกติดตามแบบไม่ทราบสาเหตุ ความต้องการที่อยากจะได้ยอดกดไลก์เยอะ ๆ หรือแม้กระทั่ง การที่เราเห็นคนอื่นในโซเชียล แล้วอยากมี อยากได้แบบเขา แบบที่เกินตัว รวมไปถึงการที่รู้สึกอิจฉาเวลาที่คนอื่นประสบความสำเร็จ
Chapter 2 ความรู้สึกขุ่นมัวจากเรื่องความสัมพันธ์กับคนอื่น
ในบทที่ 2 นี้จะค่อนข้างมีหลายเนื้อหา หลายหัวข้อ เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์เรามักจะเผชิญมากที่สุด ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ หรือใช้ชีวิตแบบไหนอยู่ก็ตาม โดยหัวข้อที่นักเขียนได้รวบรวมมาให้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่อยู่รอบตัว และเชื่อว่าหลายคนคงจะได้เคยสัมผัสมาแล้วอย่างแน่นอน
เช่น การที่ตัวเราเองรู้สึกไม่ชอบ และเสียใจกับคำพูดแย่ ๆ ของคนอื่น การที่เราอยากจะเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนอยู่เสมอ จนทำให้ในบางครั้ง เราไม่กล้าแม้แต่จะปฏิเสธใครเลย หรือแม้แต่การที่เราเลยจะเก็บทุกสิ่งไว้กับตัวเอง รวมไปถึงการรู้สึกหวุดหงิด หรือไม่ชอบใจเวลาที่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับคนที่อยากหลีกเลี่ยง หรือคาดหวังให้คนอื่นทำตามสิ่งที่เราคิด


Chapter 3 ความรู้สึกขุ่นมัวในที่ทำงาน
เป็นบทที่เหมาะกับคนวัยทำงานมากที่สุด เพราะหลายครั้งเราก็อาจจะรู้สึกท้อแท้เวลาที่ทำงานแย่กว่าคนอื่น ความกลุ้มใจที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อย้ายงานแล้วต้องเริ่มสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานใหม่ รวมไปถึง ความเครียดที่เกิดขึ้นระหว่างทำงาน แต่ก็ยังฝืนที่จะทำมันต่อไป ดังนั้นในบทนี้ จึงเป็นสิ่งที่สะท้อนจิตใจของวัยทำงานได้ดีที่สุด
Chapter 4 ความรู้สึกขุ่นมัวในใจตัวเอง
ในแต่ละวันเรามักจะปวดหัวและกลุ้มใจในเรื่องที่ต่างกันออกไป แต่เรื่องของตัวเราเองนั้น ก็เป็นสิ่งสำคัญ และไม่ควรที่จะมองข้ามด้วยเช่นกัน
ดังนั้นในบทที่ 4 นี้ นักเขียนจึงอยากจะพาทุกคนมาทบทวนตัวเอง และเลิกกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ทั้งเรื่องของความไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่รู้จักคุณค่าในตัวเอง รู้สึกสับสนกับเส้นทางที่ตัวเองจะเลือกเดิน หรือการที่เรามีเรื่องที่อยากจะทำ แต่ไม่มีเวลามากพอ

หนังสือเล่มนี้ เป็นอีกหนึ่งเล่มที่เรารู้สึกว่าตอนที่อ่าน เราได้แนวคิดใหม่ ๆ และได้รู้จักตัวเองในมุมที่ไม่เคยเจอมาก่อน เลยอยากจะส่งต่อเรื่องราวดี ๆ แบบนี้ ให้กับชาว ECOLIFE ทุกคน ได้หันมาฮีลใจ และปรับเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อตนเอง และคนรอบข้างกัน
แล้วคุณจะรู้ว่า ขณะที่เราเก็บเอาเรื่องราวต่าง ๆ มาเป็นเรื่องทุกข์ใจ แต่..
ป่านนี้เขานั่งกินไอติมสบายใจเฉิบไปแล้ว!
ติดตามข้อมูล ข่าวสารของ คิดคิด และ ECOLIFE ได้ที่
Facebook: ECOLIFE
LINE OA: @ECOLIFEapp