สุขภาพจิต ไม่ใช่ปัญหาส่วนตัว แต่คือสิ่งที่เราต้องช่วยผลักดัน
สุขภาพจิต

สุขภาพจิต ไม่ใช่ปัญหาส่วนตัว แต่คือสิ่งที่เราต้องช่วยผลักดัน

สุขภาพจิต ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเป็นอย่างมาก ในหลายช่วงที่ผ่านมา เรามักจะได้ยินข่าวของคนที่เลือกจบชีวิตตัวเอง เพื่อหลีกหนีปัญหาต่าง ๆ นานา ขณะที่การเลือกจบชีวิตของพวกเขา บางครั้งอาจจะส่งต่อแผลใจ และปัญหาสุขภาพจิตให้กับผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์นั้นด้วยเช่นเดียวกัน

สุขภาพจิต ปัญหาที่ถูกมองว่าเป็น Norm ในสังคม

อย่างที่หลายคนมักจะทราบกันอยู่แล้ว ว่าเรื่องของปัญหาสุขภาพจิต เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ง่าย และปัจจุบันมีหลายคนที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่ ทั้งโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล หรือแม้กระทั่งภาวะหมดไฟ ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาด้านสุขภาพกายและใจที่เห็นได้ชัดในกลุ่มคนวัยเรียน 

แต่ในประเทศไทย เรื่องของการดูแลสุขภาพจิตยังเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับความสนใจและการดูแลเท่าที่ควร ยกตัวอย่างในเขตพื้นที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ยังไม่ได้มีนักจิตวิทยาประจำหรือบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้มากนัก แม้จะมีสายด่วนสุขภาพจิต แต่ก็ยังมีบุคลากรไม่เพียงพอ แถมยังมีคนจำนวนมากที่ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังมีภาวะผิดปกติทางจิตใจ และก่อเกิดเป็นปัญหาสุขภาพจิตในที่สุด ดังนั้นการจะเข้าถึงการรักษาจึงเป็นไปได้ยาก

สุขภาพจิต

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า โครงสร้างในสังคมไทยยังไม่ได้ยอมรับว่า wellness เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ แต่กลับมองว่าเป็นความรับผิดชอบส่วนตัว หากต้องการมีความสุข ก็ต้องไปวิ่ง ออกกำลังกาย หรือฝึกโยคะด้วยตัวเอง โดยไม่มีระบบใดมาสนับสนุน ทัศนคติแบบนี้ฝังรากลึกในสังคม และกำลังทำให้คนไทยจำนวนมากตกอยู่ในความทุกข์โดยไม่มีที่พึ่งที่แท้จริง

“ราวกับสังคมกำลังบอกคุณว่า เกิดคนเดียว ตายคนเดียว ต้องจัดการตัวเองให้ได้”

สุขภาพจิต จะดีได้ ก็เมื่อโครงสร้างมั่นคง

โดยผลสำรวจเยาวชนของ คิด for คิดส์ ในปี 2565 พบว่า การเรียนและความคาดหวังด้านการทำงานในอนาคต และสถานะทางการเงินของครอบครัวเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กไทยเกิดความเครียดสูงโดยกลุ่มอายุ 15 – 18 ปี และ 19 – 22 ปี

และจากผลการวิจัย “อนาคตสุขภาพจิตสังคมไทย พ.ศ. 2576” โดยกรมสุขภาพจิต ระบุชี้ชัดว่า ร้อยละ 17.6 ของวัยรุ่นอายุ 13-17 ปี มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตอันดับ 3 ของวัยรุ่นไทย ในทุก 2 ชั่วโมงประเทศไทยจะสูญเสียประชากร 1 คน จากการจบชีวิตตัวเอง ทั้งยังพบผู้ป่วยมีปัญหาสุขภาพจิต-ซึมเศร้า เพิ่มขึ้น 1-2 % พบการฆ่าตัวตายสำเร็จต่อปีกว่า 4,625 คน (ปี พ.ศ. 2564-2565)

หลายคนมักมองว่าสุขภาพจิตที่ดี คือเรื่องของการดูแลตัวเอง เช่น ออกกำลังกาย พักผ่อนให้พอ หรือฝึกสมาธิ หา workshop หรือกิจกรรมที่เยียวยาจิตใจ แต่หากต้องการให้สุขภาวะเกิดขึ้นอย่างยั่งยืนและเข้าถึงได้จริง สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงพอ ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นจำเป็นต้องมีการออกแบบ ระบบสนับสนุนในระดับสังคมและนโยบายสาธารณะ มาช่วยเสริมด้วย

แต่ถึงแม้ปัญหาเหล่านั้นจะเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่ในประเทศไทย กลับไม่มีนโยบายที่สนับสนุนการแก้ปัญหานี้ให้ดีขึ้นเท่าที่ควรจะเป็น

สุขภาพจิต ถึงเวลาต้องผลักดัน

สำหรับประเทศไทยนั้น รายงานสภาวะสังคมไตรมาส 1/2567 โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า ผู้ป่วยที่เข้ารับบริการจิตเวชเพิ่มขึ้นจาก 1.3 ล้านคนในปี 2558 เป็น 2.9 ล้านคนในปี 2566 แต่ตัวเลขนี้เป็นเพียงผู้ที่เข้ารับการรักษาเท่านั้น ผู้ป่วยจริงอาจสูงถึง 10 ล้านคน หมายความว่าไทยมีสัดส่วนผู้ป่วยสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก และมีผู้ป่วยมากกว่าครึ่งที่เข้าไม่ถึงบริการ

ปัญหาสุขภาพจิตจึงเป็นวาระสำคัญของประเทศ และการแก้ไขเพียงสามประเด็นในร่าง พ.ร.บ. สุขภาพจิต อาจยังไม่เพียงพอ พระราชบัญญัติกำหนดกรอบว่าทำอะไรได้-ไม่ได้ แต่การนำไปปฏิบัติต้องอาศัย “นโยบายสาธารณะ” ที่มีทิศทางชัดเจน

นโยบายสาธารณะคือนโยบายที่รัฐใช้ผลักดันการดำเนินงานในประเทศ เช่น โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ “30 บาทรักษาทุกโรค” ที่คนไทยรู้จักดี ซึ่งนอร์เวย์เป็นตัวอย่างประเทศที่มีนโยบายสุขภาพจิตครอบคลุม มีทรัพยากรรองรับผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก รวมถึงคลินิกฉุกเฉินสำหรับผู้มีปัญหาสุขภาพจิต ปี 2560 เพิ่มโครงการรักษาโดยไม่ใช้ยาเพื่อตอบสนองผู้ป่วยที่ต้องการลดการใช้ยา นโยบายนี้ช่วยให้นอร์เวย์ติดอันดับ 7 ประเทศที่มีความสุขมากที่สุด ขณะที่ไทย อยู่อันดับที่ 58

นโยบายสาธารณะไม่ต้องมาจากรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว ภาคประชาชนสามารถผลักดันได้ ปัจจุบันหลายหน่วยงานกำลังขับเคลื่อนให้สุขภาพจิตเป็นนโยบายสาธารณะจริงจัง อาจารย์มิลให้เหตุผล 5 ข้อ:

1️⃣ จัดการปัจจัยทางสังคมที่กำหนดสุขภาพจิต

ปัจจัยทางสังคมมีขอบเขตกว้าง แม้แต่ PM 2.5 ก็ส่งผลต่อสุขภาพจิต ต้องมีนโยบายควบคุมปัจจัยเชิงโครงสร้างและเศรษฐกิจให้ส่งผลดีต่อจิตใจคนไทย

2️⃣ เพิ่มการเข้าถึงบริการที่มีมาตรฐาน

แม้มีหน่วยบริการมากมาย แต่ไม่มีกรอบมาตรฐานเดียวกัน อาจเกิดปัญหาไม่สอดคล้องแนวปฏิบัติที่ถูกต้อง นโยบายจะช่วยให้ประชาชนมั่นใจในมาตรฐานการรักษา

3️⃣ เชื่อมโยงบริการอย่างมีประสิทธิภาพ

นโยบายช่วยสร้างเครือข่ายบริการนอกแวดวงสุขภาพ เช่น เชื่อมโยงกับโรงเรียนและสถาบันการศึกษา ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการง่ายขึ้นโดยไม่ต้องไปโรงพยาบาลเท่านั้น

4️⃣ ปกป้องสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน

ใช้นโยบายคุ้มครองสิทธิ เช่น ไม่ถูกตีตราในที่สาธารณะ เพื่อให้ผู้มีปัญหาสุขภาพจิตอยู่ในสังคมได้อย่างมั่นคงโดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติ

5️⃣ ลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ

WHO พบว่าโลกสูญเสียวันทำงานมากกว่า 1 หมื่นล้านวันต่อปีจากปัญหาสุขภาพจิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ นโยบายที่ดีจะลดการสูญเสียนี้ เพราะคนสุขภาพจิตดีจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ดีกว่า

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า การสร้าง wellness ไม่ใช่เพียงเรื่องการดูแลตัวเอง แต่ต้องอาศัยโครงสร้างสังคมและนโยบายที่สนับสนุนอย่างจริงจัง หากประเทศไทยสามารถยกระดับการเข้าถึงบริการสุขภาพจิต และมองว่า “สุขภาวะ” คือสิทธิขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่ภาระของปัจเจก ก็จะสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDG 3: Good Health & Well-being ที่มุ่งให้ทุกคนมีสุขภาพกายและใจที่ดีอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ซึ่งไม่เพียงช่วยลดความทุกข์ส่วนบุคคล แต่ยังเป็นการสร้างสังคมที่เข้มแข็งและยั่งยืนสำหรับทุกคน


ติดตามข้อมูลข่าวสารของ คิดคิด และ ECOLIFE ได้ที่

Facebook: ECOLIFE

Website: คิดคิด / ECOLIFE

LINE OA: @ECOLIFEapp

ติดตามข้อมูลข่าวสารของ คิดคิด และ ECOLIFE ได้ที่

RELATED POST